วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556
พบลูกตายักษ์ประหลาดลึกลับบนชายหาดฟลอริด้า
พบลูกตายักษ์ประหลาดลึกลับบนชายหาดฟลอริด้า

Photograph by Carli Segelson/Fla. FWCC
ทำให้ระลึกถึงเจ้า “Montauk monster (สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่คนอ้างว่าเคยเห็น)" ลูกตาขนาดลูกซอฟท์บอลถูกพัดเข้าสู่ฝั่งฟลอริด้าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โลกออนไลน์เกิดคำถามขึ้นมากมาย ว่ามันคืออะไร และเป็นตาของใคร หลังจากนั้นไม่กี่วัน คณะกรรมการอนุรักษ์สัตว์ป่าและพันธุ์ปลา (Fish and Wildlife Conservation Commission) ได้รายงานว่า “ลูกตาลึกลับ” ลูกนี้เป็นตาของปลาดาบนั่นเอง ด้วยการถูกจัดว่ามีความประหลาดชัดเจนและลึกลับในเวลาเดียวกัน เจ้าตายักษ์ลูกนี้จึงถูกจัดเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดของ NatGeo ในปี 2012
การศึกษาอวัยวะเพศชายที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก
การศึกษาอวัยวะเพศชายที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก
Photograph by Lucy Cooke
ตัวตุ่น (echidna) ออสเตรเลีย สัตว์จำพวกเม่นโบราณที่กินปลวกเป็นอาหาร มันมีลักษณะประหลาดคือ มีอวัยวะเพศสี่หัว Lucy Cooke นักสำรวจของ NatGeo กล่าวว่า “เจ้าสี่หัวนั่นดูเหมือนมือตุ่นๆ ที่ไม่มีหัวแม่มือโบกมือหยอยๆ มาให้ฉัน หรือดูอีกทีก็เหมือนต้นไม้ทะเลประหลาดบางชนิด ดีนะ ที่มันไม่มีหน้าตาเหมือนอวัยวะเพศชายที่ฉันเคยเห็นมาก่อนเลย” อิ อิ
ความลึกลับของการวิวัฒนาการ - ปลาที่มีอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ใต้หัว
ความลึกลับของการวิวัฒนาการ - ปลาที่มีอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ใต้หัว

Photograph courtesy Magnolia Press, reproduced with permission
ปลา Phallostethus cuulong เป็นปลาชนิดใหม่จากประเทศเวียตนามมันมีอวัยวะสืบพันธุ์อยู่ส่วนหัว นับเป็นชนิดที่ 22 ของสายพันธุ์ Phallostethidae ซึ่งทั้งหมดในสายพันธุ์นี้มีอวัยวะสำหรับการสืบพันธุ์อยู่ถัดจากปากของมัน
ค้นพบเป็นครั้งแรกว่าตะพาบสามารถถ่ายปัสสาวะทางปาก
. ค้นพบเป็นครั้งแรกว่าตะพาบสามารถถ่ายปัสสาวะทางปาก

Photograph from FLPA/Alamy
เมื่อสัตว์จำพวกตะพาบชนิดหนึ่งในประเทศจีนจำต้องว่ายวนอยู่ในแอ่งน้ำเล็กๆ พวกมันจะถ่ายปัสสาวะทางปาก (ขับถ่ายยูเรียออกทางปาก) ในเดือนตุลาคมนักวิทยาศาสตร์ได้รายงานแสดงหลักฐานครั้งแรกที่พบว่าพวกมันทำเช่นนั้น การค้นพบยังสามารถนำมาวิจัยต่อได้เพื่อช่วยมนุษย์ที่มีปัญหาด้านโรคไตล้มเหลว
พบสัตว์ที่มีขามากที่สุดในโลก
พบสัตว์ที่มีขามากที่สุดในโลก

Photograph by Paul Marek
สัตว์ที่มีขามากที่สุดที่อาศัยอยู่บนโลกของเราอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มันไม่ใช่นักแสดงหรือนายแบบใดๆ แต่มันคือ มิลลิเพด (millipede def:[สัตว์ตัวกลมยาวราว 1 คืบ ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง ในวงศ์ Julidae มีขาเป็นข้อๆ) ถูกค้นพบในเดือนพฤศจิกายน นักวิทยาศาสตร์ให้ข้อมูลไว้ว่ามันมีความยาว 3 ซม. มีขา 750 ขา ครั้งแรกมันถูกพบโดยนักวิทยาศาสตร์ในปี 1928 (Illacme plenipes —”ความเป็นสุดยอดของการมีขามาก”) แต่ไม่มีการกล่าวถึงเลยตลอดศตวรรษที่ 20 จนใครๆ คิดว่ามันสูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว แต่แล้วนักกีฏวิทยาจากมหาวิทยาสัยอริโซนา Paul Marek ก็พบมันใกล้ๆ กับ Silicon Valley
เรื่องประหลาด
. ความลึกลับของแมวสองหน้า

Photograph courtesy TODAY Show/NBC
ในเดือนสิงหาคม เจ้า”วีนัส”แมวสองหน้ากลายเป็นแมวที่มีชื่อเสียง เจ้าแมวลายสีเต่ากระ (tortoiseshell) มีเฟซบุ๊คส่วนตัว ถูกโหลดขึ้นบนยูทูปhttp://www.youtube.com/ และยังมีสัมภาษณ์แบบเอคครูซีฟใน Today Showhttp://www.youtube.com/watch? เหตุที่ดังขนาดนี้เพราะหน้าข้างที่เป็นสีดำของมันมีตาสีเขียวแต่ในด้านที่เป็นลายสีส้มกลับมีตาสีฟ้า การมีสีแยกชัดเจนเช่นนี้อาจเป็นเพราะการผสมผสานทางพันธุกรรมที่นักวิทยาศาตร์เรียกว่า “Absolute luck” ขอแปลว่า “โชคเพียวๆ”
การตอนกิ่ง (Layering)
การตอนกิ่ง หมายถึง วิธีการทำให้กิ่งพืชออกรากในขณะอยู่ติดกับต้นแม่ เมื่อกิ่งตอนนั้นออกรากดีแล้ว จึงตัดไปปลูกต่อไป
การตอนกิ่งเป็นการตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชส่วนท่อน้ำยังมีอยู่ตามปกติ จึงทำให้กิ่งที่ทำการตอนได้รับน้ำอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กิ่งตอนสดอยู่เสมอจนกว่าจะออกราก
การออกรากของกิ่งตอน จะขึ้นอยู่กับความชื้น การถ่ายเทอากาศ และระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม แต่ถ้าปล่อยให้ดินหรือวัสดุหุ้มกิ่งแห้งโดยมิได้ดูแล ย่อมจะเป็นอุปสรรคต่อการเกิดรากได้เช่นกัน ดังนั้น ฤดูกาลที่เหมาะสมที่สุดในการตอนกิ่ง ควรเป็นฤดูฝน
การตอนกิ่ง ใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะพืชบางชนิดที่ไม่สามารถออกรากได้โดยใช้วิธีตัดชำ แต่ออกรากได้โดยวิธีตอนกิ่ง สามารถทำได้ง่ายทั้งกลางแจ้งและในเรือนเพาะชำ นอกจากนี้ กิ่งตอนยังมีจำนวนรากมากกว่ากิ่งตัดชำ เมื่อนำไปปลูก จึงมีโอกาสตั้งตัวได้เร็วและมีเปอร์เซ็นต์การตายน้อยกว่ากิ่งตัดชำ ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พืชต้นใหม่ที่ได้จากการตอน จะมีลักษณะเป็นไม้พุ่มเตี้ย จึงสะดวกต่อการดูแลปฏิบัติบำรุงรักษาและเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะไม้ประดับ จะได้ทรงพุ่มที่สวยงาม เป็นต้น แต่กิ่งตอนมีข้อเสีย คือ พืชที่นำไปปลูกเมื่อโตเต็มที่จะล้มง่าย เพราะไม่มีรากแก้ว
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตอนกิ่ง
1) การทำให้เกิดการสะสมอาหารและสารบางชนิดที่จำเป็นต่อการงอกราก ในบริเวณที่ทำการตอน โดยวิธีการทำให้กิ่งเกิดแผล เพื่อตัดท่อลำเลียงอาหารของพืชในส่วนอื่นๆ จึงเกิดการสะสมอาหารและสารบางอย่างขึ้นเหนือแผลที่ทำการตอน
2) การสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการงอกรากของพืช เช่น ความชื้น อุณหภูมิ และแสงสว่าง
3) การดูแลรักษา ควบคุมความชื้นหรือการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย อันเกิดจากศัตรูอื่นๆ เช่น มด แมลง สัตว์เลี้ยง เป็นต้น
อุปกรณ์ที่ใช้ในการตอนกิ่ง
1) มีดขยายพันธุ์หรือคัตเตอร์ (Cutter) หรือมีดติดตาต่อกิ่ง
2) ถุงพลาสติกขนาด 2x4 นิ้ว หรือ 3x5 นิ้ว
3) วัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น กาบมะพร้าว ถ่านแกลบหรือขุยมะพร้าว
4) เชือกมัดวัสดุหุ้มกิ่งตอน เช่น เชือกฟาง
5) ฮอร์โมนเร่งราก
รูปแบบการตอนกิ่ง มีหลายวิธี ที่นิยมกันได้แก่
1) การตอนกิ่งในอากาศ (Air Layering)
2) การตอนกิ่งแบบฝังยอด (Tip Layering)
3) การตอนกิ่งแบบฝังกิ่งให้ยอดโผล่พ้นดิน (Simple Layering)
4) การตอนกิ่งแบบงูเลื้อย (Compound Layering)
5) การตอนกิ่งแบบขุดร่อง (Trench Layering)
6) การตอนกิ่งแบบสุมโคน (Mound or Stool Layering)
ฉู่ฉี่ปลาหมึกยัดไส้
ส่วนประกอบ
- ปลาหมึกกล้วยขนาดกลาง 6 ตัว
- หมูบด 1 ถ้วยตวง (200 กรัม)
- วุ้นเส้นแช่น้ำหั่นท่อน 1 นิ้ว ½ ถ้วยตวง
- หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
- หางกะทิ 2 ถ้วยตวง
- ใบมะกรูดหั่นฝอย 4 ใบ
- พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียงบาง 2 เม็ด
- ผักชีเด็ดเป็นใบ 1-2 ต้น
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปีบ 2 ช้อนโต๊ะ
- คนอร์ซุปไก่ก้อน 2 ก้อน
- น้ำพริกแกง
- พริกชี้ฟ้าแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 2 เม็ด
- พริกขี้หนูแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
- ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมแดงซอย 7 หัว
- กระเทียม 10 กลีบ
- ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ½ ช้อนชา
- รากผักชีหั่น 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
- นำพริกกับเกลือมาโขลกให้ละเอียด พร้อมทั้งใส่ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ผิวมะกรูด รากผักชี และกะปิที่เตรียมไว้ โขลกส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด แล้วพักไว้
- นำปลาหมึกไปล้างให้สะอาด ใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
- นำพริกแกงที่โขลกไว้ 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับหมูและวุ้นเส้นให้เข้ากันแล้วนำมายัดใส่ในตัวปลาหมึกทำจนหมด แล้วพักไว้
- ตั้งกระทะน้ำกะทิบนไฟกลาง ใส่น้ำพริกแกงที่เหลือ ผัดให้หอมและแตกมัน ใส่ปลาหมึกลงไปผัดพอสุก แล้วตักใส่ชามพักไว้
- เทกะทิที่เหลือใส่หม้อเติมน้ำเปล่า ปรุงรสด้วยคนอร์ซุปไก่ก้อน น้ำปลา และน้ำตาล คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน นำปลาหมึกที่พักไว้ลงไปต้มต่อจนปลาหมึกสุก
- จัดใส่จาน โรยใบมะกรูด พริกชีฟ้า และผักชี นำหัวกะทิหยอดหน้าเล็กน้อยให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ
ขนมจีนน้ำยากะทิ
ส่วนประกอบ
- หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
- น้ำเปล่าจากน้ำต้มเครื่องแกง 2 ถ้วยตวง
- เนื้อปลาอินทรีย์เค็มสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
- ลูกชิ้นปลา 300 กรัม
- คนอร์ซุปไก่ก้อน 2 ก้อน
- น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
- ขนมจีน 1 กิโลกรัม
- รับประทานกับผักเช่น ถั่วงอก ผักกาดดอง ถั่วฝักยาว ผักกระเฉด พริกป่น ไข่ต้ม ฯลฯ
- เครื่องน้ำพริก
- พริกขี้หนูแห้งประมาณ 20-25 เม็ด
- กระเทียมซอย 4 ช้อนโต๊ะ
- หัวหอมซอย 4 ช้อนโต๊ะ
- ตะไคร้ซอย 3 ช้อนโต๊ะ
- ข่าซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- กระชายซอย 150 กรัม
- ปลาช่อน ½ กิโลกรัม
- น้ำสำหรับต้มปลาและเครื่องแกงประมาณ 3 ถ้วยตวง
วิธีทำ
- ตั้งหม้อต้มน้ำพร้อมทั้งใส่เครื่องน้ำพริกทั้งหมด เมื่อน้ำเดือดให้ใส่ปลาที่ล้างสะอาดแล้วลงไปต้มให้สุก ตักเครื่องน้ำพริกและปลาขึ้นมาแกะก้างและหนัง โขลกเนื้อปลาให้ละเอียด แล้วพักไว้
- โขลกเครื่องน้ำพริกให้ละเอียด หรือนำไปใส่เครื่องปั่นให้ละเอียด ใส่น้ำพริกลงในน้ำต้มปลา เติมหัวกะทิตั้งไฟพอเดือด แล้วใส่เนื้อปลาลงไป
- ปรุงรสด้วยคนอร์ซุปไก่ก้อน น้ำปลา ปลาอินทรีย์เค็ม เคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนน้ำยาเริ่มข้น ชิมรส นำใส่จานเสิร์ฟพร้อมขนมจีน และผักต่างๆ เช่น ถั่วงอก ผักกาดดอง ถั่วฝักยาว ผักกระเฉด พริกป่น รวมถึงไข่ต้มด้วย
ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ
ส่วนประกอบ
- กุ้งแม่น้ำขนาดกลางประมาณ 600 กรัม 6 ตัว
- หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
- หางกะทิ 2 ถ้วยตวง
- ใบมะกรูดหั่นฝอย 4 ใบ
- พริกชี้ฟ้าหั่นเฉียงบาง 2 เม็ด
- ผักชีเด็ดเป็นใบ 1-2 ต้น
- น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปีบ 2 ช้อนโต๊ะ
- คนอร์ซุปไก่ก้อน 2 ก้อน
- น้ำมันสำหรับทอดกุ้ง
- น้ำพริกแกง
- พริกชี้ฟ้าแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 2 เม็ด
- พริกขี้หนูแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
- ข่าหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ซอย 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมแดงซอย 7 หัว
- กระเทียม 10 กลีบ
- ผิวมะกรูดหั่นละเอียด ½ ช้อนชา
- รากผักชีหั่น 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
- นำพริกกับเกลือมาโขลกให้ละเอียด พร้อมทั้งใส่ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ผิวมะกรูด รากผักชี และกะปิที่เตรียมไว้โขลกให้ละเอียด แล้วพักไว้
- นำกุ้งแม่น้ำไปล้างให้สะอาด ตัดหนวด ผ่าหลัง แล้วพักไว้
- ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟแรงพอร้อน นำกุ้งแม่น้ำลงไปทอดพอสุก นำใส่จานที่เตรียมไว้
- นำหัวกะทิตั้งไฟให้เดือด หมั่นคนเพื่อกะทิไม่จับเป็นก้อน เคี่ยวให้แตกมัน ใส่น้ำพริกแกงที่โขลกไว้ ผัดจนหอม นำกะทิที่เหลือใส่หม้อ ตั้งไฟพอเดือด
- ปรุงรสด้วยคนอร์ซุปไก่ก้อน, น้ำปลา และน้ำตาล ผัดจนซอสข้นเล็กน้อย นำซอสที่ได้ราดลงบนตัวกุ้ง หรือนำกุ้งมาคลุกกับซอสก็ได้ จัดใส่จาน โรยใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า และผักชีตามชอบพร้อมเสิร์ฟ
ต้มจืดหัวไชเท้ากระดูกหมู
ส่วนประกอบ
- หัวไชเท้าหั่นเต๋าขนาดพอคำ ½ กิโลกรัม
- กระดูกหมู (250 กรัม) 1 ถ้วยตวง
- คนอร์ซุปหมูก้อน 2 ก้อน
- น้ำเปล่า 6 ถ้วย
- กระเทียมบุบ 6 กลีบ
- พริกไทยเม็ดบุบ 1 ช้อนชา
- กุ้งแห้ง 2 ช้อนโต๊ะ
- แครอทหั่นเป็นแว่น ½ หัว
- ต้นหอม ผักชีซอยสำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
- ตั้งหม้อต้มน้ำบนไฟแรงจนเดือด ใส่กระเทียม พริกไทย และกระดูกหมูที่เตรียมไว้ เมื่อน้ำเดือด หมั่นช้อนฟองทิ้ง
- ใส่คนอร์ซุปหมูก้อนลงไป คนให้ละลาย ใส่หัวไชเท้า ต้มต่อสักพักโดยใช้ไฟปานกลาง (คอยช้อนฟองทิ้งเพื่อน้ำซุปใส) จนหัวไชเท้าสุกและกระดูกหมูนุ่ม
- ใส่แครอท และกุ้งแห้งลงไป ต้มต่อประมาณ 5 นาที ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวตามชอบ จัดใส่ชาม โรยหน้าด้วย ต้นหอม และผักชีตามใจชอบพร้อมเสิร์ฟ
หมูทอดราดซอสพะแนง
ส่วนประกอบ
- เนื้อหมูสันนอก 3 ชิ้น ประมาณ 500-600กรัม
- แป้งสาลี ½ ถ้วย
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- เกล็ดขนมปัง 2 ถ้วย
- คนอร์อร่อยชัวร์ 2 ช้อนชา
- เครื่องแกง
- พริกขี้หนูแห้งเด็ดขั้วแช่น้ำจนนิ่มแล้วบีบน้ำออก 10 เม็ด
- พริกชี้ฟ้าแห้งเด็ดขั้วแช่น้ำจนนิ่มแล้วบีบน้ำออก 5 เม็ด
- หัวหอมแดงปอก 4 หัว
- กระเทียมปอกเปลือก 1 หัว
- ตะไคร้หั่นซอย 2 ต้น
- กะปิดีเผาไฟ 1 ช้อนชา
- ยี่หร่าคั่วป่น ¼ ช้อนชา
- รากผักชีล้างสะอาดหั่น 3 ราก
- พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
- ลูกผักชีคั่วป่น ¼ ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- นำส่วนผสมทั้งหมดโขลกเข้าด้วยกันให้ละเอียดพักไว้
- เครื่องปรุง
- หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
- น้ำปลา ½ ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลปีบ 1 ช้อนโต๊ะ
- คนอร์ซุปไก่ก้อน 1 ก้อน
- น้ำเปล่า 150 มิลลิลิตร
- พริกแดงหั่นเฉียงเป็นฝอย 1 เม็ด
- ใบมะกรูดหั่นฝอย 3 ใบ
วิธีทำ
- นำหมูมาทาด้วยคนอร์อร่อยชัวร์ หมักไว้ประมาณ 20 นาที ใส่แป้งสาลีลงในจาน นำหมูที่หมักแล้วมาคลุก ให้แป้งติดทั่วเนื้อหมู จากนั้นตอกไข่ใส่ถ้วย ตีให้เข้ากัน แล้วจุ่มเนื้อหมูลงไป จากนั้นใส่เกล็ดขนมปังในจานอีกใบ แล้วนำหมูที่พึ่งจุ่มไข่ลงไปคลุกอีกครั้ง นำไปแช่ตู้เย็นสัก 1-2 ชั่วโมง (ช่วยทำให้แป้งติดหมูดียิ่งขึ้น)
- ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟแรงจนร้อนร้อน ใส่เนื้อหมูลงทอดให้เหลืองกรอบ แล้วตักขึ้นพักไว้
- ทำซอสโดย นำกะทิลงไปเคี่ยวในกระทะจนกะทิแตกมัน ใส่เครื่องแกงที่โขลกไว้ ผัดจนเครื่องแกงหอม แล้วเติมน้ำลงไป
- ใส่คนอร์ซุปก้อน น้ำตาลปีบ และน้ำปลาลงไป ผัดให้เครื่องปรุงเข้ากัน โรยด้วยพริกแดง และใบมะกรูดหั่นฝอย นำซอสพะแนงราดบนหมูที่ทอดไว้พร้อมเสิร์ฟ รับประทานพร้อมผักลวก หรือผักสลัด
. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore) : ดอกกล้วยไม้แวนด้า
ประเทศสิงคโปร์ มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 (พ.ศ. 2524)

ดอกไม้
6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) : ดอกพุดแก้ว
ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน

5. ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) : ดอกพู่ระหง
สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย

4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (Lao People's Democratic Republic) : ดอกจำปาลาว
ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วันแม่แห่งชาติ 2556 กลอนวันแม่
ประวัติความเป็นมาและความสำคัญของวันแม่แห่งชาติ
12 สิงหาของทุกปีเป็นวันแม่แห่งชาติไทย
ความหมายของคำว่า "แม่"
คำว่า “แม่” พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า "แม่" ไว้ดังนี้
แม่ หมายถึง หญิงในฐานะที่เป็นผู้ให้กำเนิดแก่ลูก, คำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดตน
ในทางพระพุทธศาสนา ได้ให้ความหมายของคำว่า "แม่" ซึ่งหมายถึง หญิงที่มีครอบครัวไว้หลายนัย เช่น
1. แม่ บางทีเรียกว่า มารดา มารดร หมายถึง เป็นใหญ่ เช่น แม่ทัพ แม่น้ำ แม่กอง เป็นต้น อันแสดงถึงความยิ่งใหญ่ภายในกิจการนั้นๆ ในที่นี้มาใช้กับผู้ให้กำเนิดแก่ลูกและหาตัวแทนไม่ได้
- หญิงในฐานะผู้ให้กำเนิดแก่ลูก และหาตัวแทนไม่ได้
- คำที่ลูกเรียกหญิงผู้ให้กำเนิดตน
- คนที่เป็นหัวหน้า หรือเป็นนาย โดยไม่จำกัดว่าเป็นชายหรือหญิง เช่น แม่ทัพ แม่กอง ฯลฯ
รวมความแล้ว "แม่" คือ ผู้รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน โดยการรับผิดชอบนั้นมีขอบเขตภายในบ้านเรือน
2. ชนนี หมายถึง ผู้ให้กำเนิดลูก, เป็นที่บังเกิดเกล้าของลูก
3. ภรรยา หรือภริยา หมายถึง
- เมีย หรือ หญิงผู้เป็นคู่ครองของชาย
- ผู้เลี้ยง หรือผู้ดูแลสมาชิกของครอบครัว
นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam
ภาษาโซ่ เม๋เปะ
ภาษาโซ่ เม๋เปะ
ภาษาไทใต้คง เม เป็นต้น
พระคุณแม่ยิ่งใหญ่หาใดเทียบมิอาจเปรียบแม้ภูผาชลาสินธุ์
น้ำนมที่กลั่นให้ลูกได้ดื่มกินลูกถวิลถึงคุณค่าว่าอนันต์
ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี พ.ศ.2457 โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว
ความเป็นมาของวันแม่แห่งชาติในประเทศไทย
วันแม่แห่งชาติ งานวันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีงานวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทำไมจึงใช้ดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำวันแม่
การที่ใช้ดอกมะลิ เป็นสัญลักษณ์วันแม่ ก็เพราะดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ มีกลิ่นหอมที่หอมไปไกลและหอมได้นาน ผลิดอกได้ทั้งปี อีกทั้งยังนำไปปรุงเป็นเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้ด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ลึกซึ้งที่แม่มีต่อลูก เป็นความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่ไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีพิษมีภัย มีแต่ความชุ่มชื่นใจดั่งความหอมของดอกมะลิ
ดอกมะลิเป็นสัญลักษณ์ของวันแม่
ดอกมะลิดอกไม้ประจำวันแม่
ชื่อ :
| มะลิ มะลิลา มะลิหลวง มะลิซ้อน |
ชื่อวิทยาศาสตร์ และชื่อพฤกษศาสตร์ :
| Jusminum adenophyllum. |
วงศ์ :
| OLEACEAE |
ลักษณะทั่วไป :
| เป็น พรรณไม้พุ่มยืนต้นขนาดกลาง แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ลำต้นสูงประมาณ 5 ฟุต ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ ไปตามก้านต้นลักษณะใบป้อมมน ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบไม่มีจัก ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบยาว 2-3 นิ้ว มีดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อตามปลายยอดหรือปลายกิ่งประมาณ 3-5 ดอก แล้วแต่ชนิดพันธุ์ ดอกมีสีขาวกลิ่นหอม มีทั้งดอกลาและดอกซ้อน ออกดอกตลอดปี |
การขยายพันธุ์ :
| เป็นไม้ที่ชอบแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง ต้องการน้ำปานกลาง ปลูกในดินร่วนซุย ขยายพันธุ์โดยการปักชำ หรือตอนกิ่ง |
สรรพคุณทางยา :
| มะลินอกจากจะมีกลิ่นหอมไว้ดมแล้ว มะลิดอกแห้งใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี |
มะลิหอมน้อมวางข้างข้างตัก กรุ่นกลิ่น “รัก” บริสุทธิ์ผุดผ่องใส
แทนทุกคำทุกถ้อยร้อยจากใจ เป็นมาลัย “กราบแม่” พร้อมน้อมบูชา
วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556
วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี
ประเทศไทยได้กำหนดให้เป็น "วันภาษาไทยแห่งชาติ"

ธงชาติ และ ภาษา คือสิ่งที่บ่งบอกความเป็นไทย
วันภาษาไทยแห่งชาติ วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี คือ วันที่รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในด้านภาษาไทย และเพื่อกระตุ้น ให้ชาวไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย และร่วมใจกันใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเพื่ออนุรักษ์ภาษาไทยให้เป็นเอกลักษณ์อยู่คู่ชาติไทยต่อไป
วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556
วันภาษาไทยแห่งชาติ 2556
ความเป็นมาของวันภาษาไทยแห่งชาติ
สืบเนื่องจากเมื่อ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานและทรงอภิปรายเรื่อง “ ปัญหาการใช้คำไทย ” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่าณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทรงแสดงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยห่วงใยในภาษาไทย จนเป็นที่ประทับใจผู้ร่วมประชุมครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า...
“...เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ควรจะใช้คำเก่าๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก…”
ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษาก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียง
คือให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้
หมายความว่าวิธีใช้คำมาประกอบประโยค
นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย
ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้
… สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี
รัฐบาลจึงได้ประกาศให้วันดังกล่าวเป็นวันสำคัญ ตั้งแต่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา
ภาษาไทยเป็นภาษาที่ เก่าเเก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรากฐานมาจากออสโตรไทย ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีน
พ่อขุนรามคำเเหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พศ 1826 (คศ1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดเเปลงมาจากบาลี เเละ สันสกฤต
คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง เเละมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องเเสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาเเต่โบราณกาล เเละยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีเเล้ว เเละจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย
พ่อขุนรามคำเเหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี พศ 1826 (คศ1283) มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดเเปลงมาจากบาลี เเละ สันสกฤต
คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเอง เเละมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจำชาติ อันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ ซึ่งเป็นเครื่องเเสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาเเต่โบราณกาล เเละยั่งยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทย เป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีเเล้ว เเละจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย
ความสำคัญของภาษาไทย
ภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันเเละทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้น เเต่ละภาษามีระเบียบของตนเเล้วเเต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ความเป็นชาติโดยเเท้จริง" ว่า ภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์เเน่นเเฟ้นกว่าสิ่งอื่น เเละไม่มีสิ่งใด ที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือเเน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกัน รัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดี เพราะฉะนั้น รัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนเเละออกบัญญัติบังคับ ให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง เเต่ความคิดเห็นเช่นนี้ จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้ เเต่ถ้ายังจัดการเเปลง ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็เเปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้น เเละยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้ อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์เเน่นเเฟ้นยิ่งกว่าสิ่งอื่น"
ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ ก็จะได้ชื่อว่า รักษาความเป็นชาติ
คนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอ ควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษา ซึ่งเเสดงวัฒนธรรม เเละ เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วย ดัง พระราชดำรัส สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งว่า
"ภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารเเสดงความ รู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลก เเล้ว ยังเป็นเครื่องเเสดงให้เห็นวัฒนธรรม อารยธรรม เเละเอกลักษณ์ ประจำชาติอีกด้วย ไทยเป็นประเทศซึ่งมีขนบประเพณี ศิลปกรรมเเละภาษา ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาล เราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจ ช่วยกัน ผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้ อุตส่าห์สร้่างสรรค์ขึ้นไว้ให้เจริญสืบไป "
Gallery รูปภาพ อุทยานแห่งชาติปางสีดา

โป่งผีเสื้อน้ำตกปางสีดา เมื่อมาถึงอุทยานแห่งชาติปางสีดา สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากชำระค่าเข้าชมแล้วคือการไปติดต่อศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะค้างที่นี่และต้องการไปจุดชมวิวของอุทยานแห่งชาติปางสีดา ต้องทำการแจ้งความประสงค์และทำบัตรผ่านครับ ไม่งั้นเดี๋ยวไปถึงด่านแล้วต้องกลับลงมาใหม่ แจ้งจำนวนคนให้เรียบร้อย จากนั้นก็ออกเดินทาง
จุดแรกโป่งผีเสื้อบริเวณทางเข้าน้ำตกปางสีดา สำหรับช่วงนี้น้ำตกปางสีดาแห้งสนิทครับ แต่มีผีเสื้อกับช่างภาพจำนวนมากล้อมรอบขอบโป่งที่มีผีเสื้อหากินกัน
จุดแรกโป่งผีเสื้อบริเวณทางเข้าน้ำตกปางสีดา สำหรับช่วงนี้น้ำตกปางสีดาแห้งสนิทครับ แต่มีผีเสื้อกับช่างภาพจำนวนมากล้อมรอบขอบโป่งที่มีผีเสื้อหากินกัน

ป้ายน้ำตกปางสีดา จอดรถให้เรียบร้อยระวังรถไหล จุดนี้เป็นทางลาดครับจากนั้นก็ออกถ่ายภาพกันได้เลย ที่โป่งค่อนข้างร้อน ไม่มีต้นไม้ควรหาหมวกหรือร่มมาด้วย

นางผีเสื้อ ตรงนี้มีป้ายเขียนภาพผีเสื้อเจาะช่องให้เอาหน้าโผล่อเข้าไปแบบที่เห็นนี่แหละ

ผีเสื้อปลายปีกส้มใหญ่ *_* ความสวยงามและสีสันอยู่ที่ปีกด้านบน ถ่ายภาพตอนกางปีกยากมาก บินเร็ว แล้วเวลาลงเกาะพื้นไม่ยอมกางปีกเลยต้องจับภาพเวลาร่อนลงอย่างฉับไว
ชื่อไทย : ผีเสื้อปลายปีกส้มใหญ่
ชื่อสามัญ : Great Orange Tip
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hebomoia glaucippe (Linnaeus, 1758)
ชื่อวงศ์ : ผีเสื้อหนอนกระหล่ำ
ลักษณะ : ปีกบน เพศผู้มีพื้นปีกสีขาว มุมปลายปีกหน้าของปีกคู่หน้ามีแถบสีส้มขนาดใหญ่ เพศเมียคล้ายเพศผู้ แต่มีแต้มสีดำที่ขอบปีกด้านข้างของปีกคู่หลังปีกล่าง คล้ายกันทั้ง 2 เพศ พื้นปีกสีน้ำตาลอ่อนลายๆ คล้ายใบไม้แห้ง
สถานภาพ : พบบ่อย
ถิ่นอาศัย : ป่าโปร่ง ป่าละเมาะ สวนสาธารณะ
การแพร่กระจาย : พบทุกภาคของไทย
ชื่อไทย : ผีเสื้อปลายปีกส้มใหญ่
ชื่อสามัญ : Great Orange Tip
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hebomoia glaucippe (Linnaeus, 1758)
ชื่อวงศ์ : ผีเสื้อหนอนกระหล่ำ
ลักษณะ : ปีกบน เพศผู้มีพื้นปีกสีขาว มุมปลายปีกหน้าของปีกคู่หน้ามีแถบสีส้มขนาดใหญ่ เพศเมียคล้ายเพศผู้ แต่มีแต้มสีดำที่ขอบปีกด้านข้างของปีกคู่หลังปีกล่าง คล้ายกันทั้ง 2 เพศ พื้นปีกสีน้ำตาลอ่อนลายๆ คล้ายใบไม้แห้ง
สถานภาพ : พบบ่อย
ถิ่นอาศัย : ป่าโปร่ง ป่าละเมาะ สวนสาธารณะ
การแพร่กระจาย : พบทุกภาคของไทย

ผีเสื้อสะพายฟ้า tip : มุมที่สวยที่สุดของผีเสื้อเมื่อเค้าไม่กางปีกคือด้านข้าง การถ่ายภาพแนวนี้ผู้ถ่ายภาพต้องนอนถ่ายครับ
ชื่อไทย : ผีเสื้อสะพายฟ้า
ชื่อสามัญ : Common Bluebottle
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Graphium sarpedon (Fruhstorfer, 1907)
ชื่อวงศ์ : ผีเสื้อหางติ่ง (PAPILIONIDAE)
ลักษณะ : ลำตัวสีเทาเข้ม ปีกบน พื้นปีกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ กลางปีกมีแถบสีฟ้า ใกล้โคนปีกของปีกคู่หน้าและมุมปลายปีกหลังของปีกคู่หลังมีแต้มสีแดง ปีกล่าง คล้ายปีกบน แต่สีพื้นปีกอ่อนกว่าเล็กน้อย
สถานภาพ : พบบ่อย
ถิ่นอาศัย : ป่าดงดิบ ป่าโปร่ง
การแพร่กระจาย : พบทุกภาคของไทย
ชื่อไทย : ผีเสื้อสะพายฟ้า
ชื่อสามัญ : Common Bluebottle
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Graphium sarpedon (Fruhstorfer, 1907)
ชื่อวงศ์ : ผีเสื้อหางติ่ง (PAPILIONIDAE)
ลักษณะ : ลำตัวสีเทาเข้ม ปีกบน พื้นปีกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ กลางปีกมีแถบสีฟ้า ใกล้โคนปีกของปีกคู่หน้าและมุมปลายปีกหลังของปีกคู่หลังมีแต้มสีแดง ปีกล่าง คล้ายปีกบน แต่สีพื้นปีกอ่อนกว่าเล็กน้อย
สถานภาพ : พบบ่อย
ถิ่นอาศัย : ป่าดงดิบ ป่าโปร่ง
การแพร่กระจาย : พบทุกภาคของไทย

ผีเสื้อสะพายฟ้า

สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)